Headlines

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยชง 2 แนวทางเร่งด่วนฟื้นกำลังซื้อ-ปลุกท่องเที่ยว

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเผย ดัชนีความเชื่อมันผู้ค้าปลีก (RSI – Retail Sentiment Index) เดือนมิถุนายนปรับลดลงต่อเนื่อง New Time Low          ในรอบ 42 เดือนสะท้อนภาพกำลังซื้อในประเทศที่ยังเปราะบางขณะที่ผู้ประกอบการและนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนจากนโยบายรัฐอย่างเป็นรูปธรรม สมาคมฯ จึงขอเสนอ 2 แนวทางเร่งด่วน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยสนับสนุนการดำเนินงานของรัฐบาลชุดใหม่ให้สามารถเดินหน้าฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมสร้างแรงส่งให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

นายณัฐ วงศ์พานิช ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า “ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาภาคค้าปลีกต้องเผชิญแรงกดดัน           รอบด้าน ทั้งความไม่แน่นอนทางการเมือง การบริโภคที่ชะลอตัว การลงทุนที่ลดลง และปัจจัยภายนอก อาทิ จำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยลดลงนโยบายภาษีของสหรัฐฯที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าไทยจะสามารถเจรจาให้ลดลงต่ำกว่า 36% หรือใกล้เคียงกับประเทศในแถบเอเชียอย่างเวียดนามมาเลเซียอินโดนีเซียโดยไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดเล็กในธุรกิจที่ต้องเปิดเสรีได้หรือไม่ซึ่งมีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยและการจ้างงานในระบบ รวมถึงความขัดแย้งในตะวันออกกลาง และสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ล้วนส่งผลต่อบรรยากาศการจับจ่ายและความเชื่อมั่นในระบบเศรษฐกิจโดยรวม 

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการค้าปลีกในเดือนมิถุนายนยังคงปรับลดลงในทุกองค์ประกอบ ทุกภูมิภาค ทั้งยอดใช้จ่ายต่อใบเสร็จ ความถี่ในการใช้จ่าย โดยคาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 3 สะท้อนกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ฟื้นตัวและระมัดระวังในการจับจ่าย ถึงแม้จะมีสัญญานบวกจากการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่ยังขาดเสถียรภาพทางการเมืองที่ชัดเจน ขณะที่ภาคเอกชนเฝ้ารอการเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพ และต้องการเห็นมาตรการฟื้นฟูที่ลงมือปฏิบัติได้จริงใน ช่วงครึ่งปีหลัง

สมาคมฯจึงขอเสนอแนวทาง 2 แกนหลักเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาสำคัญได้แก่

  1. อัดฉีดเม็ดเงินรัฐอย่างตรงจุดเพื่อฟื้นกำลังซื้อทั่วประเทศ
  • เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านงบล็อตแรก 1.15 แสนล้านจากกรอบงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ท่องเที่ยว โครงสร้างพื้นฐาน โดยควรกระจายการลงทุนครอบคลุมทั่วประเทศ ในด้านท่องเที่ยวควรเร่งมาตรการความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว พร้อมกันนี้รัฐควรจัดสรรงบคงเหลืออีก 40,000–50,000 ล้านบาทเพื่อมุ่งกระตุ้นกำลังซื้อฐานรากให้มากขึ้นกว่านี้และช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งมีมากกว่า 90% ของภาคธุรกิจทั้งหมด ครอบคลุม 50-70% ของการจ้างงานโดยรวม ผ่านโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น 
  • ผลักดันโครงการ “Easy e-Receipt เฟส 2” หรือช้อปดีมีคืน ช่วงระหว่างกันยายนธันวาคมนี้เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในฤดูไฮซีซั่นและเทศกาลเฟสทีฟต่างๆ พร้อมดึงผู้ค้ารายย่อยเข้าสู่ระบบภาษีอย่างเป็นธรรม โดยเสนอให้มีการ ปรับเงื่อนไขให้เข้าร่วมได้สะดวกขึ้นด้วยการรวมสินค้าทั่วไปและสินค้า OTOP รวมถึงเพิ่มเติมสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมภายในวงเงินรวมกันไม่เกิน 100,000 บาทคาดว่าจะมีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นประมาณมากกว่า 100,000 ล้านบาท จากเดิมราว 70,000 ล้านบาท
  • เร่งเบิกจ่ายงบปี 2568 ให้แล้วเสร็จก่อน 30 .. 68 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดปีงบประมาณ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อม จัดทำร่างงบประมาณรายจ่ายปี 2569 ให้เป็นไปตามกรอบเวลา เพื่อความต่อเนื่องของนโยบายและการดำเนินการอย่างราบรื่น

2. ดันแม่เหล็กท่องเที่ยวผ่าน Thailand Shopping Paradise ดึงนักท่องเที่ยวคุณภาพ

  • ทดลองมาตรการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ทันทีร้านค้า (Instant Tax Refund)สำหรับนักท่องเที่ยวที่มียอดซื้อ         ขั้นต่ำ 3,000 บาท โดยอาจเริ่มจากร้านค้าสมาชิกในย่านช้อปปิ้งหลักของกรุงเทพฯ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว
  • ลดภาษีนำเข้า (Import Tax) สำหรับสินค้าในกลุ่มแฟชั่นเสื้อผ้าน้ำหอมและเครื่องสำอาง ซึ่งปัจจุบันมีอัตราภาษีนำเข้าสูงถึง 20–30% เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆในภูมิภาค เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และลดแรงจูงใจในการซื้อสินค้าจากตลาดสีเทา
  • พิจารณาจัดตั้งเขตปลอดภาษี (Free Tax Zone) ในจังหวัดท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว และส่งเสริมการกลับมาเที่ยวซ้ำในระยะยาว
  • จัดมหกรรมลดราคาสินค้าทั่วประเทศ ในรูปแบบเดียวกับ “Great Singapore Sale” (งานสิงคโปร์ลดทั้งเกาะ)              โดยบูรณาการความร่วมมือระหว่างห้างค้าปลีก ร้านอาหาร โรงแรม และผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อสร้างบรรยากาศจับจ่ายทั่วประเทศ เป็นต้น
  • เสนอขยายระยะเวลาวีซ่าของนักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 วันเป็น 45 วัน หลังสิ้นสุดโครงการเดิม เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและกระจายรายได้ในภาคการท่องเที่ยว โดยกลุ่มนักท่องเที่ยวจากรัสเซียถือเป็นกลุ่มคุณภาพที่มีศักยภาพในการใช้จ่ายสูงและมักนิยมพำนักระยะยาวในประเทศไทย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทางภาครัฐกำลังดำเนินการในด้าน การปราบปรามธุรกิจนอมินีสวมสิทธิ์โดยชาวต่างชาติโดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหารโรงแรมและซูเปอร์มาร์เก็ตและการคุมเข้มสินค้านำเข้าราคาถูกไม่ได้มาตรฐาน ทางสมาคมฯมองว่ารัฐมาถูกทางและเริ่มเห็นผลลัพธ์บ้างแล้วแต่ขอเสนอให้มีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าให้กับผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะเอสเอ็มอีอย่างแท้จริง 

ทั้งนี้นอกจากมาตรการฟื้นเศรษฐกิจที่ทางสมาคมฯ พร้อมที่จะร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อกำหนดนโยบายและแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมแล้ว  ทางด้านบทบาทของสมาคมฯ ยังให้ความสำคัญกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน และส่งเสริมค้าปลีกสีเขียว (Green Retail) โดยร่วมกับสมาชิกในเครือข่ายจัดโครงการ “Hug The Earth” (ฮักโลก) เพื่อรณรงค์การบริโภคอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจัดพื้นที่จำหน่าย “สินค้าฉลากรักษ์โลก” มากกว่า 20,000 รายการทั่วประเทศ พร้อมกันนี้ สมาคมฯ ยังเดินหน้าเพิ่มโอกาส สร้างรายได้  ให้ผู้ประกอบการรายย่อยทั้งในกลุ่มไมโครเอสเอ็มอีและเอสเอ็มอี            ทั่วประเทศ ผ่านความร่วมมือกับห้างร้านกลุ่มค้าปลีกชั้นนำ เช่น กลุ่มเซ็นทรัล จัดงานมหกรรมจำหน่ายสินค้าชุมชน, เดอะมอลล์ จัดเทศกาลผลไม้และของกินจากร้านดังทั่วไทย, โก โฮลเซลล์ เปิดพื้นที่จำหน่ายสินค้า OTOP จากทั่วประเทศ, ซีพี แอ็กซ์ตร้า             จัดงานแม็คโคร โชห่วยออนทัวร์รวมมิตร เสริมศักยภาพร้านโชห่วยไทย, บิ๊กซี จัดเทศกาลผลไม้ไทย และท็อปส์ จัดโซนจำหน่ายสินค้าจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เป็นต้น  

สมาคมผู้ค้าปลีกไทยเชื่อว่าหากรัฐบาลผลักดันนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีศักยภาพเพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศควบคู่กับความร่วมมืออย่างจริงจังระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน.

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *